บทความนี้เขียนในช่วงของการรับสมัครสมาชิกวุฒิสภาปี 2024 ซึ่งถ้าใครมีโอกาสได้ศึกษา “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561” รวมถึงกฎระเบียบซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการในฐานะคณะกรรมการตามมาตรา 4 ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนี้ จะเห็นได้ชัดเจนว่ามีความไม่ปกติ ผิดวิสัยของการคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งดังกล่าวตามรูปแบบที่เป็นสากลเป็นอย่างมาก เริ่มตั้งแต่ความพยายามไม่เรียกการคัดเลือกว่า “การเลือกตั้ง” ทั้งที่เป็นการคัดเลือกโดยการลงคะแนนอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ การกำหนดอายุขั้นต่ำของผู้มีสิทธิสมัครตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ผู้มีสิทธิสมัครรับการคัดเลือกเท่านั้นจึงจะสามารถใช้ สิทธิลงคะแนนเสียง เลือกคนที่เห็นว่าเหมาะสมเข้าไปเป็น สมาชิกวุฒิสภาได้ (รวมทั้งตัวเองด้วย) มีการเรียกเก็บเงินจำนวน 2,500 บาท และมีการกำหนดโทษของการทุจริต หรือไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎระเบียบที่ยิบย่อย ซ้ำซ้อน สิ่งต่างๆเหล่านี้ทำให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ รวมถึงผู้ที่ประสงค์ที่จะไปใช้สิทธิเลือกคนที่ตนเห็นว่ามีความสามารถต้องถูกตัดสิทธิ หรือเกรงกลัวว่าอาจจะไปกระทำผิดตามกฏเกณฑ์ที่ยิบย่อยโดยไม่รู้ตัว จนทำให้ไม่กล้าที่จะลงสมัคร
- เลือกสมาชิกวุฒิสภา อะไรคือปัญหา ?
- สหรัฐอเมริกาดินแดนแห่งเสรีภาพและความเท่าเทียม?
- จิมโครว์คืออะไร (What was Jim Crow?)
- การกีดกัน สิทธิลงคะแนนเสียง เลือกตั้งของคนผิวสีในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
- วิธีการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองของคนผิวสี
- NAACP คืออะไร
เลือกสมาชิกวุฒิสภา อะไรคือปัญหา ?
ตามความเห็นของบุคคลต่างๆ และผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนมากที่เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ถึงกฎเกณฑ์เหล่านี้ผ่านทางสื่อสารมวลชน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วิธีการดังกล่าวมีความซับซ้อน ยุ่งเหยิง รวมถึงมีการปกปิดข้อมูลที่ประชาชนควรได้รับรู้ กีดกันไม่ให้บุคคลทั่วไปเข้าไปรู้เห็นหรือสังเกตการณ์การดำเนินการเพื่อคัดเลือกในครั้งนี้ หลายคนถึงกับกล่าวว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่พิสดารที่สุดในโลก ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน
จากการที่เป็นคนชอบศึกษาประวัติศาสตร์ต่างประเทศผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะเรื่องสิทธิพลเมือง (Civil Right) ทั้งในอเมริกา ยุโรป และอินเดีย โดยส่วนตัวมีความเห็นว่ากฎเกณฑ์เหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้มีความซับซ้อน (complex or complicated) เพื่อให้การสรรหามีคุณภาพหรือประสิทธิภาพอะไร แต่เป็นการจงใจออกแบบมาเพื่อให้เกิดความยุ่งยาก สับสน (confused) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “มั่ว” วิธีการลักษณะนี้ไม่ใช่เพิ่งปรากฏขึ้นในโลกปัจจุบัน แต่เกิดขึ้นมานานนับร้อยปีแล้ว และมักใช้เพื่อเป็นการกีดกัน หรือระงับ สิทธิลงคะแนนเสียง เลือกตั้งสำหรับพลเมืองบางกลุ่มหรือบางส่วนที่ผู้มีอำนาจทางสังคมดั้งเดิมเห็นว่าอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงกับสถานภาพของกลุ่มของพวกตน โดยเฉพาะสถานภาพในอำนาจทางการเมืองและการปกครอง
คงไม่สามารถบอกได้หรอกนะครับว่า กฎเกณฑ์ที่ออกแบบเพื่อให้ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาของไทยปัจจุบัน ผู้ออกแบบมีจุดประสงค์อะไรซ่อนเร้นอยู่หรือไม่ แต่การที่อำนาจของวุฒิสภานั้นแทบไม่มีขอบเขตจำกัด มีมากกว่าสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนเสียด้วยซ้ำไป กลุ่มอำนาจเดิมคงยากที่จะยอมให้เครื่องมือนี้หลุดรอดไปเป็นของกลุ่มอื่นๆหรือของประชาชนอย่างแน่นอน
อยากจะขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศที่ถือกันว่า ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพมากที่สุดในโลกเมื่อกว่าร้อยปีที่แล้วมาให้นำมาใช้เปรียบเทียบกันครับ
สหรัฐอเมริกาดินแดนแห่งเสรีภาพและความเท่าเทียม?
สหรัฐอเมริกา ประเทศที่ชาวอเมริกันมีความภาคภูมิใจเหลือเกินว่าเป็นดินแดนแห่งเสรี เพลงชาติของอเมริกา “The Star-Spangled Banner” ทุกบรรทัดสุดท้ายของแต่ละท่อนจะบอกว่า “O’er the land of the free and the home of the brave” ซึ่งคนทั่วโลกก็ให้การยอมรับและมีไม่น้อยที่ใฝ่ฝันอยากจะได้เป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกา ส่วนในปัจจุบันความเชื่อนี้จะยังคงเป็นจริงอยู่หรือไม่ คงต้องพิจารณากันเองครับ
การใช้สิทธิลงคะแนนเพื่อเลือกตัวแทนเข้าไปทำงานในรัฐบาลเป็นคุณลักษณะสำคัญของระบอบประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนซึ่งพลเมืองของประเทศนี้ใช้มาตั้งแต่ก่อตั้งประเทศ หลังการต่อสู้เพื่อหลุดพ้นจากเจ้าเหนือหัวอังกฤษ สิทธิในการลงคะแนนเสียงเป็นหลักพื้นฐานของประเทศที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งให้สัตยาบันในปี 1789 (ปีเดียวกับการปฏิวัติฝรั่งเศส) แต่ก็มิได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าใครบ้างที่ได้สิทธินี้ ส่วนใหญ่แล้วจึงไปตกอยู่ที่ชายผู้ครอบครองทรัพย์สินเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหายุ่งยากอะไร เพราะความเป็นพลเมืองของประเทศจำกัดอยู่เฉพาะคนผิวขาวเท่านั้น
หลังสงครามกลางเมือง ในช่วงยุคฟื้นฟู (Reconstruction Era :1865-1877) ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งสำคัญสามครั้งคือ ครั้งที่สิบสามเพื่อยกเลิกการมีทาสทั้งหมด ครั้งที่สิบสี่มีหลายส่วนที่สำคัญคือกำหนดให้บุคคลทุกคนที่เกิดหรือแปลงสัญชาติในสหรัฐอเมริกา และอยู่ภายใต้เขตอำนาจศาลดังกล่าว เป็นพลเมืองของสหรัฐอเมริกา (แน่นอนว่ารวมถึงอดีตทาสด้วย) รวมถึงการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายที่เท่าเทียมกัน และครั้งที่สิบห้าในเรื่องการให้สิทธิแก่ชายอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันหรือคนผิวสีในการลงคะแนนเสียง
คนผิวขาวในรัฐทางใต้ส่วนใหญ่ที่เป็นอดีตสมาพันธรัฐ มีความไม่พอใจคนผิวสีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะมีทัศนคติว่าพวกตนเป็นใหญ่ ส่วนคนผิวสีซึ่งส่วนใหญ่เป็นทาส มิได้มีสถานภาพเป็นพลเมือง แต่เป็นเพียงแค่ทรัพย์สิน (property) เท่านั้น สงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในปี 1861 ถึงปี 1865 ซึ่งได้คร่าชีวิตชาวอเมริกันกว่าร้อยละสองรวมถึงความเสียหายอีกมากมาย ก็มีสาเหตุจากเรื่องนี้ การที่ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันได้สิทธิต่างๆเท่าเทียมกับพวกตนจึงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ แต่เมื่อเป็นผู้แพ้สงครามจึงต้องเก็บความไม่พอใจไว้ในใจเท่านั้น
ระหว่างยุคฟื้นฟู รัฐบาลกลางยังคงกำลังทหารไว้ในรัฐภาคใต้ ทำให้คนผิวสีซึ่งได้รับความคุ้มครองอยู่มากกว่าครึ่งล้านคน ได้เข้าร่วมลงคะแนนเสียง ส่งผลให้พวกเขาเกือบสองพันคน ได้เข้ารับตำแหน่งในองค์กรสาธารณะ มีชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน 17 คนได้รับเลือกสู่สภาคองเกรส (วุฒิสมาชิก 2 คนและผู้แทนราษฎร 15 คน) นับเป็นความสั่นสะเทือนทางสถานภาพของคนผิวขาวเป็นอย่างมาก จึงจำเป็นต้องหาวิธีการมาใช้เพื่อกีดกันหรือจำกัดสิทธิการเลือกตั้งของคนเหล่านี้ จนเมื่อรัฐบาลกลางถอนกำลังกลับไปเมื่อสิ้นสุดยุคฟื้นฟูในปี 1877 จึงเป็นโอกาสให้สามารถใช้วิธีการหรือกฎหมายของรัฐเพื่อแบ่งแยกและจำกัดสิทธิคนผิวสีอย่างเป็นระบบ มีการเผยแพร่ ส่งต่อกันในเขตภาคใต้เพื่อนำไปใช้ปฏิบัติ วิธีการเหล่านี้เรียกว่า จิมโครว์ (Jim Crow) หากออกมาเป็นกฎหมายก็เรียกว่า Jim Crow Laws ซึ่งได้มีการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องมาจนถึงทศวรรษ 1960
จิมโครว์คืออะไร (What was Jim Crow?)
จิมโครว์ (Jim Crow) ไม่ใช่ชื่อของบุคคล แต่เป็นชื่อของระบบวรรณะทางเชื้อชาติซึ่งดำเนินการอย่างกว้างขวางในสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่เฉพาะในรัฐทางตอนใต้และชายแดนเท่านั้น ระหว่างปี 1877 ถึงกลางทศวรรษที่ 1960 จิมโครว์เป็นมากกว่ากฎการต่อต้านคนผิวสีที่เข้มงวด แต่เป็นวิถีชีวิตของผู้คน ภายใต้วิถีของจิมโครว์ ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันถูกลดสถานะให้เป็นเพียงแค่พลเมืองชั้นสอง จึงอาจกล่าวได้ว่า จิมโครว์ เป็นตัวแทนของความชอบธรรมในการเหยียดเชื้อชาติ และการต่อต้านคนผิวสี
การกีดกัน สิทธิลงคะแนนเสียง เลือกตั้งของคนผิวสีในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
หลังยุคฟื้นฟู (Reconstruction era) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน หรือคนผิวสีต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญในการใช้สิทธิลงคะแนนเสียงของตน แม้จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาครั้งที่ 15 ในปี 1870 ซึ่งห้ามการปฏิเสธ สิทธิลงคะแนนเสียง โดยการอ้างถึง เชื้อชาติ สีผิว หรือสภาพความเป็นทาสในอดีต แล้วก็ตาม
ช่วงรอยต่อระหว่างหลังสงครามกลางเมืองไปจนสิ้นสุดยุคฟื้นฟู รัฐทางภาคใต้ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสมาพันธรัฐเดิม (Confederation) มีการใช้วิธีการหลายวิธีของรัฐ โดยออกเป็นกฎหมายหรือกฎเกณฑ์เพื่อใช้เพิกถอนหรือขัดขวางสิทธิของผู้ลงคะแนนเสียงชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ทั้งนี้พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ วิธีการดังกล่าวประกอบไปด้วย
ภาษีการเลือกตั้ง(Poll Taxes)
รัฐทางใต้หลายแห่งบังคับใช้ภาษีการเลือกตั้ง โดยกำหนดให้ประชาชนต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการลงคะแนนเสียง ภาษีเหล่านี้ส่งผลกระทบอย่างไม่สมส่วนต่อชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นคนยากจนข้นแค้นเนื่องจากการเลือกปฏิบัติทางประวัติศาสตร์และความแตกต่างทางเศรษฐกิจ คนเหล่านี้จำนวนมากแม้มีสิทธิในการเลือกตั้งตามกฎหมาย แต่ก็ไม่สามารถจ่ายภาษีได้ พลเมืองที่เป็นคนผิวสีจำนวนมากจึงขาดโอกาสในการใช้สิทธิเพื่อลงคะแนนเสียง
ภาษีการเลือกตั้ง(Poll Taxes) คือเงินที่พลเมืองผู้ใหญ่ทุกคนจ่ายรายหัวเป็นจำนวนเท่ากัน (poll หมายถึงหัว) โดยไม่คำนึงถึงสัดส่วนของรายได้หรือสถานการณ์เฉพาะใดๆ ก่อนกลางศตวรรษที่ 20 ยังมีบางรัฐกำหนดให้ประชาชนต้องจ่ายภาษีการเลือกตั้งเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิในการลงคะแนนเสียง
ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ภาษีการเลือกตั้งเป็นค่าธรรมเนียมที่ประชาชนต้องจ่ายเพื่อลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งสาธารณะ หากพวกเขาไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมได้ พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ลงคะแนนเสียง ภาษีเลือกตั้งถูกนำมาใช้ทั่วรัฐทางใต้ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อเป็นช่องทางในการเพิกถอนสิทธิของผู้ลงคะแนนเสียงชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ซึ่งส่วนใหญ่มักมีฐานะยากจน เนื่องจากเพิ่งได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาส ภาษีเหล่านี้มักมาพร้อมกับข้อกำหนดของท้องถิ่นที่เข้มงวดในการกำหนดเวลาการชำระเงิน ซึ่งทำให้กระบวนการลงคะแนนเสียงสำหรับชุมชนชายขอบมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นวิธีการกีดกันผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีประสิทธิภาพอีกวิธีหนึ่ง เพราะเมื่อพลเมืองผิวสีจำนวนมากไม่สามารถลงคะแนนเสียงได้ ก็จะไปบ่อนทำลายอำนาจทางการเมืองของพวกเขา และทำให้อำนาจสูงสุดของคนผิวขาวยังคงดำรงอยู่ต่อไป
อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงมิได้มีเพียงคนผิวสีเท่านั้นที่มีฐานะยากจน คนผิวขาวเองจำนวนไม่น้อยก็ประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน เพื่อช่วยเหลือคนผิวขาวที่มีฐานะยากจนที่มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถจ่ายภาษีเลือกตั้งได้ จึงได้มีการออกกฎหมายที่เรียกว่า “กฎหมายบรรพบุรุษ” (Grandfather Clauses) บัญญัติให้ยกเว้นผู้ที่บรรพบุรุษเคยมีสิทธิเลือกตั้งก่อนสงครามกลางเมืองไม่ต้องจ่ายภาษีการเลือกตั้ง ซึ่งก็จะมีแต่เฉพาะคนผิวขาวเท่านั้นที่จะได้ประโยชน์จากกฎหมายนี้
เหตุการณ์สำคัญประการหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับภาษีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในกรณีของ บรีดเลิฟ กับ ซัตเทิลส์ (Breedlove v. Suttles 1937) ซึ่งศาลสูงของสหรัฐได้ตัดสินโดยยึดถือตามกฎหมายภาษีการเลือกตั้งของรัฐจอร์เจีย การตัดสินครั้งนี้จึงเป็นการตอกย้ำถึงความเข้มแข็งของกระบวนการเพื่อเพิกถอนสิทธิของผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันในภาคใต้ได้เป็นอย่างดี
นักเคลื่อนไหวและองค์กรอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน เช่น NAACP ได้ดำเนินการต่อสู้เพื่อให้มีการยกเลิกภาษีการเลือกตั้งด้วยวิธีทางกฎหมายมาอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดเมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 24 ในปี 1964 จึงได้มีการยกเลิกการใช้ภาษีการเลือกตั้งในการเลือกตั้งระดับรัฐบาลกลาง และต่อมาศาลสูงของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้ภาษีเหล่านี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญในการเลือกตั้งระดับรัฐในคดีของ ฮาร์เปอร์ กับ คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งรัฐเวอร์จิเนียในปี 1966
การยกเลิกภาษีเลือกตั้ง (Abolishing Poll Taxes)
ภาษีการเลือกตั้งยังคงมีการบังคับใช้อยู่ในภาคใต้จนถึงกลางศตวรรษที่ 20 บางรัฐยุติการเก็บภาษีการเลือกตั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ขณะที่บางรัฐยังคงเก็บภาษีดังกล่าวอยู่ ในที่สุดภาษีเลือกตั้งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในสหรัฐอเมริกาก็ถูกยกเลิกในทศวรรษ 1960 จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 24 ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปี 1964 บัญญัติให้การใช้ภาษีเลือกตั้งขัดต่อรัฐธรรมนูญในการเลือกตั้งระดับรัฐบาลกลาง อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งอื่นๆเช่นการเลือกตั้งท้องถิ่น ยังคงมีการบังคับใช้ภาษีเลือกตั้งอยู่ จนกระทั่งปี 1966 ศาลฎีกาของสหรัฐอเมริกาได้มีคำตัดสินในคดีของฮาร์เปอร์ กับ คณะกรรมการเลือกตั้งของรัฐเวอร์จิเนีย (Harper v. Virginia Board of Electors) ซึ่งระบุว่าไม่สามารถกำหนดให้ประชาชนต้องเสียภาษีการเลือกตั้งเพื่อลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งทั้งในระดับรัฐและในระดับท้องถิ่น ศาลถือว่าภาษีเลือกตั้งละเมิดต่อบทบัญญัติของการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่สิบสี่ (the Fourteenth Amendment) ซึ่งรับประกันการคุ้มครองที่เท่าเทียมกันสำหรับทุกคนภายใต้กฎหมาย
การทดสอบการรู้หนังสือ(Literacy Tests)
กลยุทธ์ทั่วไปอีกประการหนึ่งคือการกำหนดให้มีการทดสอบการอ่านออกเขียนได้ ซึ่งผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องแสดงความสามารถในการอ่านและตีความส่วนหนึ่งส่วนใดของรัฐธรรมนูญ หรือเอกสารที่ซับซ้อนอื่นๆ การทดสอบเหล่านี้มักดำเนินการในลักษณะที่เลือกปฏิบัติ โดยชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันต้องเผชิญกับคำถามที่ยากกว่าหรือจงใจให้ข้อความที่สับสนในการตีความ
การทดสอบการรู้หนังสือถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในรัฐทางตอนใต้หลังยุคฟื้นฟู (Reconstruction era) โดยมักจะอ้างว่ามีไว้เพื่อให้แน่ใจว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีความสามารถในการรับข้อมูลต่างๆอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ การทดสอบเหล่านี้มักถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกีดกันผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ที่เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน โดยพวกเขาต้องเผชิญกับคำถามที่ยากกว่าที่ควรจะเป็น หรือจงใจสร้างข้อความที่ทำให้เกิดความสับสนจนไม่สามารถผ่านการทดสอบได้ ในขณะที่คนผิวขาวจะได้รับคำถามง่ายๆ ไม่มีความซับซ้อนใดๆ หรืออาจได้รับการช่วยเหลือจากกรรมการคุมสอบเพื่อให้สามารถผ่านการทดสอบไปได้
อัตราการไม่รู้หนังสือในหมู่ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันในขณะนั้นมีสัดส่วนที่สูงมาก เนื่องจากความไม่เท่าเทียมกันทางการศึกษาในอดีตอันเป็นผลมาจากการเป็นทาสและการแบ่งแยก ในบางรัฐมีบทลงโทษทาสที่แอบเรียนหนังสือ ด้วยการใช้ประโยชน์จากความแตกต่างนี้ รัฐทางตอนใต้จึงสามารถตัดสิทธิผู้ลงคะแนนเสียงผิวดำและรักษาอำนาจทางการเมืองของคนผิวขาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเช่นเดียวกับการจ่ายภาษีเลือกตั้งสำหรับคนผิวขาวในเรื่องการอ่านออกเขียนได้ก็มีอยู่มากเช่นเดียวกัน เพราะไม่ใช่ว่าคนผิวขาวทุกคนจะรู้หนังสือ กฎหมายบรรพบุรุษจึงมีบทบัญญัติยกเว้นในเรื่องนี้ไว้ด้วยเช่นเดียวกัน
ปัจจุบันในโลกออนไลน์ มีผู้ทดลองนำเอาแบบทดสอบเหล่านั้นมาทำ แล้วนำเสนอผ่านเว็บไซต์ หรือทาง YouTube จำนวนมาก ตัวอย่างเช่น แบบทดสอบการรู้หนังสือของรัฐลุยเซียนาปี 1964 ซึ่งใช้ทดสอบผู้ที่ไม่สำเร็จการศึกษาชั้นประถมปีที่ 5 มีจำนวน 30 ข้อ ต้องทำให้เสร็จภายในเวลา 10 นาที หากทำผิดแม้แต่เพียงข้อเดียวถือว่าสอบไม่ผ่าน ลองหาแบบทดสอบนี้ทำดูนะครับ
กฎหมายบรรพบุรุษ (Grandfather Clauses)
ในบางรัฐได้ตรา “กฎหมายบรรพบุรุษ” ซึ่งกำหนดให้มีการยกเว้นบุคคลจากการทดสอบการรู้หนังสือหรือการเสียภาษีเลือกตั้ง หากบรรพบุรุษของพวกเขาเคยมีสิทธิลงคะแนนเสียงก่อนสงครามกลางเมือง เป็นที่รู้กันดีว่าชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันส่วนใหญ่ตกเป็นทาส หรือถูกปฏิเสธสิทธิในการลงคะแนนเสียงก่อนเกิดสงครามกลางเมือง(ก่อนการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 15) กฎเกณฑ์เหล่านี้จึงเป็นประโยชน์เฉพาะคนผิวขาวที่มีฐานะยากจนหรือไม่รู้หนังสือซึ่งในขณะนั้นก็มีจำนวนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน แต่มันจะไม่มีผลดีอะไรต่อสิทธิในการเลือกตั้งของคนผิวสีเลย เพราะพวกเขายังต้องจ่ายภาษีเลือกตั้งและต้องทดสอบการรู้หนังสืออยู่เหมือนเดิม
กฎหมายบรรพบุรุษ ถูกนำมาใช้ในรัฐทางใต้ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อเป็นหนทางในการหลีกเลี่ยงการละเมิดบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 15 และรักษาอำนาจสูงสุดทางการเมืองของคนผิวขาว กฎเกณฑ์เหล่านี้ยกเว้นบุคคลจากการทดสอบการอ่านออกเขียนได้หรือภาษีการเลือกตั้ง หากบรรพบุรุษของพวกเขามีสิทธิลงคะแนนเสียงก่อนสงครามกลางเมือง โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื่อช่วยเหลือคนผิวขาวที่มีฐานะยากจน ให้ได้รับการยกเว้นจากการจ่ายภาษีเลือกตั้ง และเพื่อให้คนผิวขาวที่ไม่รู้หนังสือได้รับการยกเว้นจากการทดสอบการรู้หนังสือ
เนื่องจากชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันส่วนใหญ่ตกเป็นทาสหรือปฏิเสธสิทธิในการลงคะแนนเสียงก่อนเกิดสงครามกลางเมือง กฎหมายบรรพบุรุษจึงแยกพวกเขาออกจากการลงคะแนนเสียงอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันก็ปกป้องสิทธิในการลงคะแนนเสียงของพลเมืองผิวขาว สิ่งนี้ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันทางเชื้อชาติและนำไปสู่การเพิกถอนสิทธิ์ของคนผิวสีในเวลาเดียวกัน
กรณีของไจล์ส กับ แฮร์ริส (Giles v. Harris 1903) ทำให้เห็นได้ว่าศาลสูงของสหรัฐสนับสนุนกฎหมายบรรพบุรุษของรัฐอลาบามา ซึ่งตอกย้ำสิทธิของรัฐในการเพิกถอนสิทธิผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันผ่านกฎหมายที่เลือกปฏิบัติ
การใช้กฎหมายเพื่อต่อสู้กับความไม่ยุติธรรม เช่นในคดีบูคานัน กับ วอร์ลี่ (Buchanan v. Warley 1917) มีส่วนทำให้เกิดการเซาะกร่อนบ่อนทำลายกฎหมายบรรพบุรุษอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ กฎหมายสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนปี 1965 (the Voting Rights Act of 1965) ยังมุ่งเป้าไปที่แนวทางปฏิบัติในการลงคะแนนเสียงแบบเลือกปฏิบัติ ซึ่งรวมถึงแนวทางปฏิบัติที่มาจากกฎหมายบรรพบุรุษ โดยจัดให้มีการกำกับดูแลขั้นตอนการเลือกตั้งของรัฐบาลกลางในรัฐที่มีประวัติการกีดกันผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคน
ในกรณีของ กวินน์ กับ สหรัฐอเมริกา (Guinn v. United States 1915) ศาลสูงของสหรัฐได้ตัดสินให้กฎหมายบรรพบุรุษของรัฐโอคลาโฮมา ซึ่งยกเว้นผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวขาวที่ไม่รู้หนังสือจากการทดสอบการอ่านออกเขียนได้ ขณะเดียวกันก็ตัดสิทธิ์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวดำที่ไม่รู้หนังสือเป็นโมฆะ การตัดสินครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อวิธีการและกระบวนการที่ใช้เพื่อกีดกันผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ร้ายแรงที่สุดอีกครั้งหนึ่ง
การใช้ความรุนแรงและการข่มขู่ (Violence and Intimidation)
ชาวแอฟริกันอเมริกันที่พยายามใช้สิทธิในการลงคะแนนเสียงมักเผชิญกับภัยคุกคาม การคุกคาม และความรุนแรงจากกลุ่มที่ถือลัทธิเชิดชูคนผิวขาว เช่นกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า Ku Klux Klan ซึ่งเป็นองค์กรลับก่อตั้งขึ้นเพื่อคุกคามชุมชนชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันและป้องกันไม่ให้พวกเขาใช้สิทธิในการลงคะแนนเสียง การลงประชาทัณฑ์ การทุบตี และการข่มขู่เป็นรูปแบบที่ใช้ทั่วไปอย่างกว้างขวางโดยที่เจ้าหน้าที่รัฐและกระบวนการยุติธรรมเพิกเฉย หรือบางครั้งก็ให้ความช่วยเหลือผู้กระทำความผิดเสียเอง
การคุกคามและความรุนแรงสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ลงคะแนนเสียงชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน ทำให้พวกเขาท้อแท้จากการพยายามลงทะเบียนหรือลงคะแนนเสียง ความรุนแรงนี้ยังเป็นวิธีการรักษาการควบคุมทางการเมืองของคนผิวขาวและเสริมสร้างลำดับชั้นทางเชื้อชาติให้ดำรงอยู่ต่อไปในสังคม
การเดินขบวนประท้วงจากเซลมาถึงมอนต์โกเมอรี่ในปี 1965 อาจเป็นตัวอย่างที่มีชื่อเสียงที่สุดของการต่อต้านการข่มขู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การเดินขบวนเหล่านี้นำโดยผู้นำด้านสิทธิพลเมือง เช่น มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King Jr.) มีจุดมุ่งหมายเพื่อดึงความสนใจของสังคมไปที่การใช้ความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิวสีที่ต้องเผชิญอยู่ในรัฐทางภาคใต้ และท้ายที่สุดนำก็ไปสู่การผ่านกฎหมายสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนในปีนั้นเอง
ชุมชนชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันและพันธมิตรได้จัดการประท้วงด้วยสันติวิธี การประท้วง และการรณรงค์การทำอารยะขัดขืนของพลเมืองเพื่อเผชิญหน้ากับการข่มขู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและเรียกร้องสิทธิในการลงคะแนนเสียงที่เท่าเทียมกัน การแทรกแซงของรัฐบาลกลาง เช่น การส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (National Guard) เพื่อปกป้องผู้เดินขบวนระหว่างการเดินขบวนที่เซลมาถึงมอนต์โกเมอรี่ ยังช่วยต่อต้านกลยุทธ์การข่มขู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอีกทางหนึ่งด้วย
วิธีการอื่นๆ (Other Methods)
พรรคขาวล้วน (All-white primaries) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นำมาใช้ในการตัดสิทธิผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 เป็นแนวทางปฏิบัติที่ใช้โดยพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคเดโมแครต (Democratic Party) เพื่อกีดกันชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันไม่ให้เข้าร่วมในการเลือกตั้งขั้นต้น (primary elections) ส่งผลให้พวกเขาไม่มีเสียงในกระบวนการคัดเลือกผู้สมัครอย่างมีประสิทธิภาพ
พรรคขาวล้วนถูกฟ้องร้องในศาลโดยนักเคลื่อนไหวชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันและองค์กรสิทธิพลเมือง โดยยืนยันว่าการกระทำเหล่านี้ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ 15 ซึ่งรับประกันสิทธิในการลงคะแนนเสียงโดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ในคดี Smith v. Allwright (1944) ศาลสูงของสหรัฐอเมริกาตัดสินว่าการกระทำของพรรคเดโมแครตในเท็กซัสนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิในการลงคะแนนเสียงของชาวแอฟริกันอเมริกัน
วิธีการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองของคนผิวสี
การเพิกถอนสิทธิ การกีดกัน และการต่อต้านเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ที่ซับซ้อนและเป็นที่ถกเถียงกันของสิทธิในการลงคะแนนเสียงของชาวแอฟริกันอเมริกันในสหรัฐอเมริกา โดยเน้นย้ำถึงการต่อสู้อย่างต่อเนื่องเพื่อความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและเพื่อความยุติธรรม
แม้จะมีอุปสรรคมากมาย ชาวแอฟริกันอเมริกันและพันธมิตรก็ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อต่อต้านการกีดกัน การเพิกถอนสิทธิ และต่อสู้เพื่อสิทธิในการลงคะแนนเสียงของตนโดยการรวมตัวกันจัดตั้งเป็นกลุ่มจัดให้มีกิจกรรมต่างๆดังนี้
การใช้กฎหมายเพื่อตอบโต้ความไม่เป็นธรรม (Legal Challenges)
นักเคลื่อนไหวและองค์กรชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน เช่น NAACP (National Association for the Advancement of Colored People)ซึ่งรวมตัวกันก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 กิจกรรมของคนกลุ่มนี้นอกจากให้ความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายต่อชาวคนผิวดำแล้ว กิจกรรมหลักจะเป็นการทดสอบการใช้กฎหมายโดยการอ้างอิงสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ด้วยการฟ้องร้องดำเนินคดีทางกฎหมายต่อกฎหมายของรัฐใดที่มีการเลือกปฏิบัติในการลงคะแนนเสียง กรณีสำคัญๆ เช่น Guinn v. United States (1915) และ Smith v. Allwright (1944) การดำเนินการเช่นนี้จะเป็นการช่วยขจัดข้อจำกัดในการลงคะแนนเสียงในยุคจิมโครว์ได้ในระดับหนึ่ง
การให้การศึกษาและการระดมผู้มีสิทธิเลือกตั้ง(Voter Education and Mobilization)
ผู้นำด้านสิทธิพลเมืองและผู้จัดงานระดับรากหญ้า จะจัดให้มีกิจกรรมการรณรงค์ให้ความรู้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อแจ้งให้ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันทราบเกี่ยวกับสิทธิของตน และให้กำลังใจ ปลุกความเชื่อมั่นในตนเอง เพื่อให้พวกเขาเอาชนะอุปสรรคต่างๆ เช่น การทดสอบการอ่านออกเขียนได้ ความพยายามในการลงทะเบียนผู้ลงคะแนนเสียงผิวสี กิจกรรมเหล่านี้จะเป็นการเพิ่มจำนวนผู้ออกมาใช้สิทธิ ถือเป็นหัวใจสำคัญของขบวนการสิทธิพลเมืองในช่วงทศวรรษ 1950 ถึง 1960
อารยะขัดขืนและการประท้วง(Civil Disobedience and Protest)
ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันและพันธมิตรของพวกเขา มีส่วนร่วมในการกระทำอารยะขัดขืน และการประท้วงเพื่อดึงความสนใจของสังคมไปที่ความอยุติธรรมของวิธีการและกระบวนการที่ใช้เพื่อกีดกันการผู้มีสิทธิเลือกตั้ง รวมถึงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกกระบวนการต่างๆเหล่านั้น เหตุการณ์หลายเหตุการณ์ เช่น การเดินขบวนระหว่างเซลมาถึงมอนต์โกเมอรี่ในปี 1965 (Selma to Montgomery marches 1965) เน้นย้ำให้เห็นถึงความรุนแรงและการเลือกปฏิบัติที่ผู้ลงคะแนนเสียงผิวดำในภาคใต้ต้องเผชิญได้เป็นอย่างดี
การแทรกแซงของรัฐบาลกลาง (Federal Intervention)
รัฐบาลกลางมีบทบาทสำคัญในการปกป้องสิทธิในการลงคะแนนเสียงของชาวอเมริกันเชื้อสายแอริกันผ่านทางกฎหมาย เช่น กฎหมายสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนปี 1965 (Voting Rights Act of 1965) กฎหมายสำคัญฉบับนี้ห้ามการลงคะแนนเสียงแบบเลือกปฏิบัติ รัฐบาลกลางมีอำนาจในการกำกับดูแลขั้นตอนการเลือกตั้งโดยเฉพาะในรัฐที่มีประวัติการกีดกันผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
แม้จะมีความพยายามเหล่านี้ แต่ความท้าทายต่อสิทธิในการลงคะแนนเสียงของชาวแอฟริกันอเมริกันยังคงมีอยู่จนถึงทุกวันนี้ โดยเน้นย้ำถึงการต่อสู้อย่างต่อเนื่องเพื่อความเท่าเทียมทางเชื้อชาติและความยุติธรรมในสหรัฐอเมริกา
NAACP คืออะไร
NAACP (National Association for the Advancement of Colored People) เป็นองค์กรอเมริกันชาติพันธุ์ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการยกเลิกการแบ่งแยกและการเลือกปฏิบัติในด้านที่อยู่อาศัย การศึกษา การจ้างงาน การลงคะแนนเสียง และการขนส่ง เพื่อต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ และเพื่อให้มั่นใจว่าชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ NAACP ก่อตั้งขึ้นในปี 1909 โดยกลุ่มชาติพันธุ์ที่ประกอบด้วย W.E.B. Du Bois, Ida Bell Wells-Barnett, Mary White Ovington และคนอื่นๆอีกจำนวนหนึ่ง
ในด้านปัญหาสิทธิการเลือกตั้ง NAACP มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาการเพิกถอนสิทธิที่ชาวแอฟริกันอเมริกันต้องเผชิญ ซึ่งรวมถึงความท้าทายต่างๆ เช่น การเลือกตั้งขั้นต้นที่เป็นคนผิวขาวทั้งหมด ภาษีการเลือกตั้ง การทดสอบการอ่านออกเขียนได้ และการกีดกันผู้มีสิทธิเลือกตั้งในรูปแบบอื่นๆ
กิจกรรมสำคัญที่ดำเนินการโดย NAACP
ความท้าทายทางกฎหมาย (Legal Challenges)
กองทุนป้องกันทางกฎหมาย (Legal Defense Fund / LDF) ของ NAACP ใช้การดำเนินคดีเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการท้าทายกฎหมายและแนวปฏิบัติในการลงคะแนนเสียงที่เลือกปฏิบัติในศาล พวกเขาเลือกกรณีเชิงกลยุทธ์ที่อาจมีผลกระทบในวงกว้างต่อสิทธิพลเมืองและความเท่าเทียมกันทางเชื้อชาติ กรณีสำคัญๆ เช่น Guinn v. United States (1915), Smith v. Allwright (1944) และ Brown v. Board of Education (1954) เป็นหนึ่งในหลายกรณีที่ถูก NAACP ติดตามเพื่อต่อสู้กับการปราบปรามผู้มีสิทธิเลือกตั้งและเพิ่มสิทธิพลเมือง
การสนับสนุนและการล็อบบี้ (Advocacy and Lobbying)
NAACP มีส่วนร่วมในการสนับสนุนเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การปราบปรามผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และระดมการสนับสนุนสำหรับการปฏิรูปกฎหมาย พวกเขาล็อบบี้สมาชิกสภานิติบัญญัติในระดับรัฐและรัฐบาลกลางเพื่อตรากฎหมายที่คุ้มครองสิทธิในการลงคะแนนเสียง และยกเลิกแนวทางปฏิบัติที่เลือกปฏิบัติ เช่น ภาษีการเลือกตั้ง การทดสอบการอ่านออกเขียนได้ และการเลือกตั้งขั้นต้นของคนผิวขาว
การให้การศึกษาและการลงทะเบียนของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง (Voter Education and Registration)
NAACP ดำเนินการรณรงค์ให้ความรู้แก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อแจ้งให้ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันทราบเกี่ยวกับสิทธิของพวกเขา และให้อำนาจพวกเขาเอาชนะอุปสรรคในการลงคะแนนเสียง พวกเขาจัดหาทรัพยากรและความช่วยเหลือเพื่อช่วยให้พลเมืองผิวสีดำเนินกระบวนการลงทะเบียนผู้มีสิทธิเลือกตั้งและเข้าใจสิทธิทางกฎหมายของพวกเขา
การจัดระเบียบชุมชน (Community Organizing)
NAACP ทำงานอย่างใกล้ชิดกับชุมชนท้องถิ่นและองค์กรระดับรากหญ้าเพื่อจัดการประท้วง การคว่ำบาตร และการดำเนินการโดยตรงในรูปแบบอื่นๆ เพื่อเรียกร้องให้ยุติการกีดกันผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองในหมู่ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน
การป้องกันทางกฎหมาย (Legal Defense)
NAACP ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายและการเป็นตัวแทนแก่บุคคลที่เผชิญกับการเลือกปฏิบัติหรือการข่มขู่เมื่อพยายามใช้สิทธิในการลงคะแนนเสียง พวกเขาต่อสู้กับกลวิธีข่มขู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและปกป้องสิทธิของชาวแอฟริกันอเมริกันในการเข้าร่วมอย่างเต็มที่ในกระบวนการประชาธิปไตย
โดยรวมแล้ว ความพยายามของ NAACP มีส่วนสำคัญในการท้าทายแนวทางปฏิบัติในการลงคะแนนเสียงแบบเลือกปฏิบัติ และส่งเสริมสาเหตุของสิทธิพลเมืองและความยุติธรรมทางเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกา ชัยชนะทางกฎหมายและงานสนับสนุนของพวกเขามีส่วนสำคัญในการผ่านกฎหมายสำคัญๆ ในที่สุด เช่น กฎหมายสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนปี 1965 ซึ่งให้ความคุ้มครองที่สำคัญสำหรับผู้มีสิทธิเลือกตั้งเสียงข้างน้อย และช่วยขจัดอุปสรรคที่เป็นระบบต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ต้องต่อสู้จึงจะได้มา
สิทธิการเลือกตั้งนับเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีตัวแทนเข้าไปบริหารประเทศ เพราะหากประชาชนกลุ่มใดไม่มีตัวแทนเข้าไป สมดุลย์ทางอำนาจย่อมสูญเสียไปด้วย ยิ่งกลุ่มของตนเป็นประชากรเสียงส่วนน้อย สิทธิและผลประโยชน์ในทุกด้านก็อาจถูกเพิกเฉยไม่ได้รับการดูแลอย่างที่ต้องการ
การต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิการเลือกตั้ง และสิทธิพลเมืองทุกด้านเช่น ความเท่าเทียมทางการศึกษา การสาธารณสุข รวมถึงระบบสาธารณูปโภคต่างๆ เป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลา ยิ่งเมื่อเป็นประชากรเสียงส่วนน้อย ความยากลำบากย่อมมากขึ้นเป็นทวีคูณ ในสหรัฐอมริกาช่วงทศวรรษ 1960 มีประชากรชาวผิวขาวร้อยละ 85 คนผิวสีร้อยละ 11 ที่เหลือเป็นชาวลาติน คนพื้นเมืองและคนเชื้อชาติอื่นๆ คนเหล่านี้ล้วนตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน จึงมีการต่อสู้ในรูปแบบที่คล้ายกันโดยยึดเอาวิธีการของคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันเป็นแม่แบบ การจัดตั้งองค์กรเช่น NAACP ต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรง มียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ใช้วิธีการทางกฎหมาย ที่สำคัญคือสามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียว เสียสละ และอดทนมาอย่างยาวนานส่งต่อไปยังรุ่นต่อรุ่น จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ เป็นที่ยอมรับและยกย่องไปทั่วโลก
การคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาไทยสัญญาณบอกเหตุสิทธิพลเมืองที่ถดถอย
สิทธิในการเลือกตั้งของประชาชนไทย นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 1932 (ปฏิวัติสยาม พ.ศ.2475) ถือว่ามีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก หากเทียบกับประเทศต่างๆในเอเซียด้วยกันแล้ว ประเทศไทยถือเป็นลำดับต้นของความเป็นประชาธิบไตยแบบตัวแทน ความโดดเด่นอีกประการหนึ่งคือ สตรีไทยมีสิทธิเลือกตั้งพร้อมกับชายไทยมาตั้งแต่เริ่มต้นโดยไม่ต้องต่อสู้เหมือนกับสตรีในยุโรปและอเมริกา
บทความงานวิจัยเรื่อง “สิทธิสตรีในประเทศไทย: ความท้าทายทางประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (Women’s Suffrage in Thailand: A Southeast Asian Historiographical Challenge) เขียนโดยแคเธอรีน โบวี่ (Katherine Bowie) อาจารย์ด้านมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “ประเทศไทยถูกระบุว่าสตรีไทยได้รับสิทธิลงคะแนนเสียงในปี 1932 … อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปี 1932 จะเป็นครั้งแรกที่ชายและหญิงชาวไทยสามารถลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งรัฐสภาที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใหม่ แต่ก็ไม่ได้นับเป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงไทยสามารถลงคะแนนเสียงได้ ฉันต้องประหลาดใจที่ค้นพบว่า ในระหว่างดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับกฎหมายการเลือกตั้งหมู่บ้าน บทบัญญัติอย่างเป็นทางการสำหรับการลงคะแนนเสียงของผู้หญิงในการเลือกตั้งของหมู่บ้านในประเทศไทยมีขึ้นตั้งแต่พระราชบัญญัติการปกครองส่วนท้องถิ่นปี 1897” “ประเทศไทยมีสิทธิที่จะอ้างว่าเป็นประเทศที่สองของโลกที่ประกาศให้สิทธิลงคะแนนเสียงกับสตรี”
จะเห็นได้ว่าประเทศไทย ตั้งแต่ยังเป็นประเทศสยาม มีพัฒนาการในด้านความเป็นประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนมาเกือบศตวรรษแล้ว ถือเป็นประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่เมื่อมีการรัฐประหารบ่อยครั้งจนอยู่ในลิสต์สถิติโลก และมีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดบ่อยครั้ง เราจึงได้เห็นความถดถอยของประเทศได้เป็นลำดับต่อเนื่องกันมา
กระบวนการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาครั้งล่าสุดนี้ หากมองเผินๆเหมือนกับนำเอาวิธีการในการกีดกันสิทธิเลือกตั้งของคนผิวสีในอเมริกามาขยำรวมกัน ผลที่ออกมาจึงเป็นตัวชี้วัด (indicator) ที่ชัดเจนที่สุดที่แสดงให้เห็นถึงความถดถอยของระบบการเลือกตั้งของไทยซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสิทธิพลเมืองอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และเป็นสิ่งที่จะถูกบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ ให้ลูกหลานได้ศึกษาในอนาคตอย่างแน่นอน
ลิงก์เพื่อการอ้างอิง
การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
https://www.ect.go.th/ect_th/th/db_119_ect_th_6/2967
ทำความรู้จัก ส.ว.ชุดใหม่ พร้อมที่มาแบบใหม่โดยการให้ “เลือกกันเอง”
https://www.ilaw.or.th/articles/6002
Reconstruction era
https://en.wikipedia.org/wiki/Reconstruction_era
What was Jim Crow
https://jimcrowmuseum.ferris.edu/what.htm
Poll taxes in the United States
https://en.wikipedia.org/wiki/Poll_taxes_in_the_United_States
Literacy test
https://en.wikipedia.org/wiki/Literacy_test
Grandfather clause
https://en.wikipedia.org/wiki/Grandfather_clause
NAACP
https://en.wikipedia.org/wiki/NAACP
The Ku Klux Klan and Violence at the Polls
https://billofrightsinstitute.org/essays/the-ku-klux-klan-and-violence-at-the-polls
Voter suppression in the United States
https://en.wikipedia.org/wiki/Voter_suppression_in_the_United_States
The State of Louisiana Literacy Test
https://sharetngov.tnsosfiles.com/tsla/exhibits/aale/pdfs/Voter%20Test%20LA.pdf
Harvard Takes the 1964 Louisiana Literacy Test
https://www.youtube.com/watch?v=L44aX-pUTGE
Women’s Suffrage in Thailand: A Southeast Asian Historiographical Challenge
https://www.cambridge.org/core/journals/comparative-studies-in-society-and-history/article/womens-suffrage-in-thailand-a-southeast-asian-historiographical-challenge/69B0137CC9FAABC33C0325FC3EA97EB5
Leave a Reply