เขาว่าเดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแห่งความรัก คงเพราะวันวาเลนไทน์อยู่ในเดือนนี้ก็เลยเหมาเอาทั้งเดือนเป็นเดือนแห่งความรักไปเลย วันที่เขียนเรื่องนี้ก็เกือบถึงสิ้นเดือนแล้วถ้าไม่พูดถึงบ้างคงเสียดายแย่
หนุ่มสาว (รวมถึงหนุ่ม-หนุ่มและสาว-สาวด้วย) ไม่ว่าจะเริ่มก่อร่างสร้างรักกันมาตั้งแต่เมื่อใดก็ตาม จะเริ่มต้นหรือกระชับความสัมพันธ์ให้หนักแน่นเป็นเรื่องเป็นราวกันในช่วงนี้ ผ่านดอกกุหลาบบ้าง สติกเกอร์, ข้อความบนการ์ดรูปหัวใจหรือของขวัญที่คิดว่าคนรักคงถูกใจบ้างเป็นเรื่องปกติทุกๆปี มีบางคนบอกว่าวันนี้ไม่เฉพาะแค่เป็นเดือนแห่งความรักของหนุ่มสาวเท่านั้นนะ แต่มันรวมถึงความรักต่อพ่อแม่ ต่อคนอื่นๆ ลามไปถึงรักชาติรักอะไรไปนู่น ส่วนตัวผมมองว่ามันเป็นเดือนของหนุ่มสาวครับ รักพ่อแม่ รักเพื่อนพ้องผู้คนอันนี้พอรับได้ แต่ที่บอกรักชาติรักอะไรไปโน่นมันออกจะดูเลอะเทอะหมกมุ่นเกินไปหน่อย
คนเราจะรักกันนี่มันก็ต้องมีจุดเริ่มเหมือนกัน ไม่ใช่เห็นหน้ากันปุ๊บก็รักกันปั๊บได้เลย ต้องรู้จักกันก่อนเริ่มส่งผ่านความรู้สึกที่ดีต่อกันจนถึงขั้นสานสัมพันธ์หวังให้เกิดเป็นความรักต่อกัน ช่วงนี้ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่าจีบกันนั่นแหละครับ ส่วนจะสมหวังกันไหมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“Knock Three Times” บทเพลงในอัลบัม Candida ของ Tony Orlando and Dawn สะท้อนภาพความพยายามในการสร้างสัมพันธ์รักของหนุ่มสาวคู่หนี่งที่อาศัยในอพาร์ตเม้นต์เดียวกัน ห้องตรงกันแต่คนละชั้น สาวเจ้าอยู่ชั้นล่างส่วนเจ้าหนุ่มคนที่แอบชอบเธอนั่นอยู่ชั้นบน เวลาที่เจอกันก็ไม่กล้าทักได้แต่แอบชอบอยู่เงียบๆ ทุกวันเมื่อเธอกลับมาที่ห้องพักแล้วเปิดเพลงเต้นรำอยู่คนเดียว เขาก็จะแอบฟังพร้อมกับจินตนาการถึงท่าทางของเธอเวลาที่พริ้วไหวไปตามเสียงเพลงอย่างมีความสุข จนเมื่อไฟรักมันร้อนรุ่มเกินทน จึงได้ตัดสินใจส่งผ่านสาส์นรักไปกับจดหมายน้อยผูกเชือกห้อยลงไปทางหน้าต่างให้เธอเก็บไปอ่าน
ข้อความเป็นอย่างไรเพลงเขาไม่ได้บอกไว้ แต่มีโค้ดลับเพื่อให้เธอตอบกลับส่งไปด้วย ในโค้ดบอกประมาณว่า “ถ้าเธอเองก็สนใจและอยากตอบรับความสัมพันธ์ด้วยก็ให้เคาะที่เพดานสามครั้ง เราจะได้มาพบกันที่โถงทางเดินแล้วร่วมสานสายสัมพันธ์กันต่อไป แต่ถ้าไม่สนใจ ไม่อยากตอบรับก็ให้เคาะที่ท่อน้ำ(ที่น่าจะอยู่ในห้องน้ำ) มาสองครั้งก็แล้วกัน แล้วฉันจะไม่ไปวุ่นวายกับเธออีกเลย”
ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าหนุ่มนี่จะสมหวังหรือเปล่า ถ้าดูจากความตั้งใจจากความจริงใจ โชคก็อาจเป็นของเขาได้ แต่ถ้าวิเคราะห์กันอย่างเป็นวิทยาศาสตร์หน่อยนี่ก็น่าหนักใจเหมือนกัน เพราะถ้าเธอจะตอบรับรักนี่ก็ต้องออกแรงไม่ใช่น้อย ต้องหาเก้าอี้มาต่อขาเพื่อเคาะเพดานให้ถึง เกิดผิดพลาดพลั้งร่วงลงมาคอหักซะก่อนก็จบกัน การเข้าไปเคาะท่อน้ำในห้องน้ำนี่มันง่ายกว่ากันเยอะเลยนะครับ
บางคนแอบรักคนที่ใกล้ชิดกันอยู่ รู้จักมักคุ้นสนิทสนมกันมานานแสนนานจนใครๆก็ดูออกว่าเป็นคู่รักกันแต่กลับไม่กล้าบอกถึงความรู้สึกให้อีกฝ่ายได้รับรู้เลย “Living Next Door to Alice” เขียนโดย Nicky Chinn และ Mike Chapman บรรยายถึงชายหนุ่มกับหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน ทั้งคู่สนิทสนมเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก วิ่งเล่นในสวนสาธารณะด้วยกัน ช่วยกันแกะสลักชื่อทั้งสองคนบนโคนไม้บันทึความทรงจำร่วมกันและอื่นๆอีกมากมายจนใครๆเห็นสองคนนี่เป็นเงาซึ่งกันและกันเลยก็ว่าได้ ทั้งคู่มีความสัมพันธ์อย่างนี้มา 24 ปี ตลอดมาเจ้าหนุ่มแอบหลงรักเธอแต่ไม่เคยเอ่ยปากบอกความรู้สึกเช่นนี้กับเธอเลย เฝ้าแต่หวังว่าสักวันอีกไม่นานนี้คงได้มีโอกาสสารภาพกับเธอเสียที
แล้ววันหนึ่งเธอก็จากไปโดยไม่ได้กล่าวลา วันนั้นเพื่อนสาวแก๊งเดียวกันที่บ้านอยู่ใกล้ๆบ้านเขาโทรมาหา “นึกว่าเธอรู้แล้วเสียอีก” เธอบอก หนุ่มน้อยทำได้แค่เพียงมองออกนอกหน้าต่างเพื่อจะได้สบตากับสาวเจ้าเพียงแว่บเดียวก่อนที่เธอจะจากไปกับรถคันใหญ่ที่แล่นออกไปอย่างช้าๆจนลับตา ยี่สิบสี่ปีกับสาวข้างบ้าน ยี่สิบสี่ปีที่รอคอยโอกาสเพียงแค่สักครั้งที่จะบอกถึงความรู้สึกที่มีต่อเธอ คิดเข้าข้างตัวเองว่าบางทีอาจจะมีโอกาสที่หวนมาอีกสักครั้งเพราะเขาก็ทำใจยากเหลือเกินที่ต้องรู้ว่าต่อไปนี้จะไม่มีเธออยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
น่าเห็นใจนะ..รักเขาข้างเดียวข้าวเหนียวนึ่ง แต่ท่อนจบของเพลงอาจทำเรื่องเศร้ากลับเป็นเรื่องที่ให้ความหวังกับใครบางคนก็เป็นได้ เมื่อเพื่อนสาวคนที่โทรหานอกจากแสดงให้เห็นถึงเห็นใจ เข้าใจความรู้สึกของเขาดี ปลอบใจเขาด้วยความนุ่มนวลแล้ว ยังได้ฝากคำพูดปริศนาให้กับเขาด้วยว่า..
“…ตอนนี้เธอ(หมายถึงคนที่เขาแอบรัก)ก็จากไปแล้ว แต่ฉันยังอยู่ที่นี่ ตลอดเวลายี่สิบสี่ปีที่ผ่านมาเธอเองก็รู้ดีนะว่าฉันรอคอยอะไรอยู่…”
พล็อตละครไทยหลังข่าวเป๊ะเลยว่าไหมครับ
Leave a Reply